เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๕ ส.ค. ๒๕๕๓

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๕ สิงหาคม ๒๕๕๓
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ถ้าเรามีสติ เราจะเห็นคุณค่า ถ้าเรามีสตินะ ชีวิตนี้มีคุณค่า ถ้าเราเผลอสติ เราเผลอของเราไป ชีวิตมันจะไหลไปตามโลก

โลกเห็นไหม เราเกิดมากับโลก คำว่าโลกนี้คือวัฏฏะ ผลของวัฏฏะ การเกิดของมนุษย์เป็นผลของวัฏฏะ เป็นผลของเวรของกรรม กรรมดี กรรมชั่ว มันจะหมุนไปเป็นธรรมชาติของมันอย่างนั้น ปฏิสนธิจิตไม่มีเว้นวรรค มันจะเกิดของมันโดยธรรมชาติของมัน เกิดดี เกิดชั่ว เกิดสถานะต่างๆ เวลามันไปเกิดนรกอเวจีเห็นไหม ดูสิ พระโพธิสัตว์ เวลาเวียนตายเวียนเกิด...

ถ้ามีสติสัมปชัญญะ เราเกิดมาเป็นมนุษย์ แล้วพบพุทธศาสนา เราขวนขวายกันนะ เราอยากเป็นอิสรภาพ เวลาการปกครอง คนกดขี่นี่ เราก็ไม่พอใจ ถ้าที่ไหนมีการปกครอง มีการกดขี่ เราก็ต้องการอิสรภาพ นี่...อิสรภาพทางกฎหมาย อิสรภาพทางโลก

แต่เวลาเราเป็นอิสระของเรา เราปลดแอกประเทศ ปลดทุกอย่างให้เป็นอิสรภาพหมด แต่ในการปกครองนั้น มันก็ต้องมีกฎ มีกติกา

การมีกติกานั้น ถ้าเราไปวิตกกังวล มันก็เป็นความทุกข์ความกังวลของเรา แต่ถ้ากฎกติกานั้นถ้าเป็นธรรม กฎกติกาที่เป็นธรรม คือความเสมอภาค แต่เราก็ไม่พอใจนะ เราอยากจะเป็นอิสรภาพ

ความมีอิสรภาพของเรานี่ มันต้องเป็นอิสรภาพจากหัวใจ ถ้าเป็นอิสรภาพจากหัวใจนะ มันไม่มีกิเลสตัณหาความทะยานอยากกดขี่มัน ถ้าไม่มีกิเลสตัณหาความทะยานอยากกดขี่หัวใจนี่ หัวใจจะมีอิสรภาพ ถ้าหัวใจเป็นอิสรภาพนะ มันจะไม่มาเวียนตายเวียนเกิดในผลของวัฏฏะนี้อีก

...แต่เพราะหัวใจเราไม่เป็นอิสรภาพ หัวใจของเราเป็นทาส...

เป็นทาสของกิเลสตัณหาความทะยานอยาก แล้วมันก็เป็นความทุกข์ความร้อนในหัวใจอยู่อย่างนี้

หน้าที่การงานไม่ใช่กิเลสนะ คนเกิดมาต้องมีหน้าที่การงาน เห็นไหม แม้แต่กินข้าว เราก็ต้องเปิบใส่ปาก อันนี้ก็เป็นงานอันหนึ่งนะ เวลาเราทำหน้าที่การงาน การกิน การอยู่ มันก็หน้าที่การงานอันหนึ่ง นี้การงานอันนี้ ปัจจัยอันนี้ มันจะมาได้ มันก็มาจากน้ำพักน้ำแรงของเรา เราก็ต้องมีหน้าที่การงานของเราเป็นเรื่องธรรมดานะ

แต่ตัณหาความทะยานอยาก มันต้องการมากกว่านั้น มันต้องการความสะดวกสบายของมัน คำว่าความสะดวกสบายนี้เป็นความโกหกทั้งหมด มันไม่มีอะไรสะดวกสบายหรอก มันเป็นการขับเคลื่อนไปของวัฏฏะ มันเป็นผลของวัฏฏะ ไม่มีอะไรสุขสบายไปกว่านี้หรอก แต่มันก็อยากจะสะดวกสบายไปกว่านี้ไง มันคิดแต่ว่าอะไรที่มันจะสะดวกไปกว่านี้ อะไรที่มันจะเป็นอิสรภาพไปกว่านี้ แต่มันไม่มี มันไม่มีเพราะเหตุใด

เราบวชมานะ เรามีเพื่อนชาวต่างชาติเยอะมาก เป็นนักบวช เขาบอก เขาเกิดมานี่ เขาเป็นลูกเศรษฐีที่ฝรั่งเศสนะ เขาเกิดมานี่เขาได้ทุกอย่าง เพราะเขาเป็นลูกชายคนเดียว พ่อแม่มีศูนย์การค้าอยู่ในฝรั่งเศส ๒-๓ ศูนย์ ทุกอย่างได้ตามใจปรารถนาหมดเลย ทางโลกเขามีอะไรนี่ ใจมันต้องการสิ่งใด ได้ทั้งนั้นนะ

สุดท้ายไม่รู้จะอยากได้สิ่งใด ก็ไปเสพยาเสพติด มีความอยาก อยากเขาก็ซื้อมาให้เสพ แล้วมันก็มีความอยากต่อไป...

เขาบอก “เขาอยากจนไม่รู้ว่าอยากอะไร ก็เลยอยากฆ่าตัวตาย” เพราะมันไม่รู้จะอยากอะไร แต่มันอยากอยู่ แต่ไม่รู้ว่าอยากอะไรไง ก็เลยจะฆ่าตัวตาย

พ่อมาเจอเข้า พ่อบอก “เอ็งอย่าทำอย่างนี้เลย ไป...เอ็งเอาเงินไปเที่ยวรอบโลก”

ก็เอาเงินมาเที่ยว ก็มาบวชในเมืองไทย นี่เขาพูดให้ฟังเห็นไหม นี่เขาอยากจนไม่รู้จะอยากอะไร สุดท้ายไม่รู้จะไปไหน ก็อยากฆ่าตัวตาย นี่ไง นี่ตัณหาความทะยานอยาก มันอยากไปเรื่อยแหละ แต่มันไม่รู้ว่ามันอยากอะไร มันไม่มีขอบเขต

แต่! แต่ในปัจจุบันนี้เพราะอะไร เพราะเรามีปัจจัยเครื่องอาศัย เราก็อาศัยความเป็นอยู่นี่แหละ มันก็อยากนั้น อยากนี้ อยากเพราะเราจับต้องได้ไง อยากเพราะเรารู้ได้ เราเห็นได้ เราอยากอะไร มันก็อยากไปเรื่อย พอมันได้ตอบสนองมาแล้ว “มันก็อยากต่อไป...อยากต่อไป...อยากต่อไป...อยากต่อไป...ไม่มีที่สิ้นสุดหรอก...”

เราไม่เป็นอิสรภาพทางความคิด เราไม่มีอิสรภาพ เพราะเรามีกิเลสตัณหาความทะยานอยาก แต่เพราะกิเลสตัณหาความทะยานอยากมันบีบคั้นเรา เพราะมันบีบคั้นเรา มันทำลายเรา มันทำลายเราทั้งนั้นนะ

ถึงเราเกิดมาเป็นชาวพุทธ พบพระพุทธศาสนา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นอิสรภาพก่อน เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นอิสรภาพแล้ว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงวางธรรมและวินัยไว้สั่งสอนสาวก สาวกะ ผู้ที่สืบทอด ผู้ที่พยายามจะรื้อค้น ทำตนให้พ้นจากอิสรภาพนั้นได้

จะพ้นจากอิสรภาพนั้นได้เห็นไหม เรามัดเราเอง เราผูกเราเอง “ความลับไม่มีในโลกนะ” เราทำความดีความชั่ว หัวใจเรารู้หมดล่ะ เห็นไหม เรามัดเราเอง สิ่งที่การกระทำนี่ เรามัดไว้ในหัวใจเราเอง เราทำมาทั้งนั้น แล้วใครจะมาปลดเปลื้องให้เราล่ะ เราก็ต้องปลดเปลื้องเองใช่ไหม

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังบอก ...ชี้ทางเท่านั้น... องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก “เราเป็นคนชี้ทาง พวกเธอเป็นผู้ต้องก้าวเดินทั้งนั้นเอง ต้องเป็นคนปลดเปลื้องเอง”

การปลดเปลื้องเอง จะเอาอะไรปลดเปลื้องล่ะ ถ้าเราไม่เอาใจปลดเปลื้อง เพราะมันมัดอยู่ที่หัวใจใช่ไหม ปฏิสนธิจิต ผลของวัฏฏะ เราเกิดเป็นมนุษย์นี่ชั่วคราวนะ

โลกนี้คือโรงละคร เห็นไหม โลกนี้คือโรงละคร เล่นบทเป็นอะไร เล่นบทเป็นมนุษย์นี่ โลกนี้เป็นละคร เล่นบทเทวดา เล่นบทเป็นอินทร์ เป็นพรหมเห็นไหม โลกนี้คือละคร

โลกนี้คือละคร ปฏิสนธิจิตมาเกิดในโลกนี้ เบื้องหลังของการเกิด เบื้องหลังของการกระทำนั้น หัวใจมันมีปมของมัน หัวใจมันมีแรงขับเคลื่อนของมัน มีตัณหาความทะยานอยาก ถ้าเราจะแก้ เห็นไหม “ใจแก้ใจ” ไง เราจะต้อง “เอาจิตแก้จิต” ถ้าเราจะทำความสงบของใจเข้ามา ทำความสงบของใจเข้ามาให้ใจมันมีความสงบระงับเข้ามา ถ้าความสงบระงับเข้ามา มันจิตใต้สำนึก จิตก่อนสำนึกเห็นไหม

แต่เวลาปัจจุบันนี้ มันเป็นจิตสำนึก มันเป็นความคิดความอ่านของเราใช่ไหม

“มารเอย...เธอเกิดจากความดำริของเรา เราจะไม่ดำริถึงเจ้าอีกแล้ว เจ้าจะเกิดในหัวใจของเราไม่ได้อีกเลย” เห็นไหม

นี่จิตใต้สำนึก ความดำริไม่ใช่ความคิด ความคิดมันเกิดจากความดำริใช่ไหม เจตนา มีดำริ มีเจตนา ถึงมีความคิดออกมาใช่ไหม แล้วถ้าจิตมันสงบเข้ามานี่ “มารเอย...เธอเกิดจากความดำริของเรา มารเอย...เธอเกิดจากความดำริของเรา” ถ้าจิตมันสงบเข้ามานี่ มันจะมีการไปปลดเปลื้องกันที่นั่นเห็นไหม

เราผูกเรามาแต่ละภพแต่ละชาติ เราผูกของเรามา แต่ผูก... หลวงตาท่านบอกว่า “ถึงเราจะต้องเกิดอยู่ เราก็ทำบุญกุศลของเรา เพื่อเกิด เพื่อจะให้มันมีความสุข มีสบาย มีตามอัตภาพ ทำคุณงามความดีไว้ ความดีนี่มันจะต่อเป็นความดี”

พระพุทธศาสนาสอน “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว”

ทำดีได้ดี นี่เราไปทำความดีของเรา สร้างคุณงามความดีของเรา เราจะทุกข์จะร้อน เราจะทุคตะเข็ญใจ เราจะมีความลำบากลำบนขนาดไหน เราก็จะทำความดีของเรา ความดีของเราคือ หน้าที่ของเราไง เราดีกับพ่อแม่ของเรา เราดีกับญาติพี่น้องของเรา เราดีในครอบครัวของเราเห็นไหม เราดีกับสังคม เราดี...เราดี...เท่าที่เราดี เพราะพระพุทธเจ้าเห็นใจ เราจะเอาอะไรไปเจือจานเขา เราก็มีน้ำใจกับเขา เราก็ตั้งใจทำความดีกับเขา เราทำคุณงามความดีของเรา ถ้าเราทำคุณงามความดีของเรานี่ ทำดีประสาเรา

โอ๊ย! ถ้าทำความดี ตอนนี้มันดีทั้งโลกเห็นไหม ต้องเสียสละนะ ต้องให้มีหน้ามีตา ความดีอย่างนั้นเราหาไม่ได้ ความดีอย่างนั้นเราทำไม่ได้ ถ้าเราทำไม่ได้ เพราะเราทุคตะเข็ญใจ ถ้าทุคตะเข็ญใจนะ เราก็อนุโมทนาไปกับเขา เห็นคุณงามความดีเราก็รักษา เห็นไหม เขาทำคุณงามความดีของเขามา เขาจะได้ประโยชน์ของเขา แล้วถ้าทำคุณงามความดีเราก็รู้แล้วนี่ เห็นไหม

“ทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป” เราก็รู้ว่าเขาทำความชั่วกัน ดูสิ ผู้ที่มีอำนาจ เขาฉ้อฉลกัน เขาทำอะไรกัน นั่นเป็นความดีที่ไหน มันไม่เป็นความดีหรอก แต่มันมาจากไหนล่ะ เขาได้ตำแหน่งนั้นมาอย่างไร เขาทำอย่างไรน่ะ มันมีกรรมเก่า กรรมใหม่ไง

กรรมเก่าก็มี ดูสิ เราทำอะไรมา เรามีกรรมเก่ามา เราสร้างมาเป็นมนุษย์ แล้วคุณค่าสิ่งใดจะมีเท่ากับมนุษย์สมบัติล่ะ มนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐ สัตว์ประเสริฐมีสมอง มีปัญญา แล้วปัญญาของเรานี่ เรามีสติควบคุมอีกด้วย มีสติ มีสมาธิควบคุม ปัญญานั้นจะเป็นคุณงามความดีล้วนๆ กับเรา แต่ถ้าเราไม่มีสติ ไม่มีสมาธิควบคุมเห็นไหม ปัญญานั้น ดูสิ ผู้มีอำนาจเขาใช้ปัญญาของเขา เขาจะทำสิ่งใดเขาต้องใช้ความคิดของเขา นั่นคือปัญญาของเขา

แต่ปัญญานะ กุศล-อกุศลไง ทั้งๆ ที่เราเกิดมาเป็นมนุษย์ ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

สว่างมา...มืดไป

มืดมา...สว่างไป

สว่างมา...สว่างไป

มืดมา...มืดไป

สว่างมา... เกิดมาเป็นมนุษย์เห็นไหม สว่างมา เรามีโอกาส มีวาสนาของเรานะ สว่างมา เกิดมามีอำนาจวาสนา มีอิทธิพล เขาสว่างมา แต่เขาจะมืดไปอ่ะ

แต่คนที่สว่างมา แล้วสว่างไปก็มีเห็นไหม ดูสิ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นกษัตริย์นะ สว่างมา แล้วยิ่งสว่างเพิ่มขึ้น เพราะจากเจ้าชายสิทธัตถะ มาตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่สว่างมา แล้วก็สว่างไป สว่างจนสว่างจนสุดขอบฟ้า

นี่เหมือนกัน เราอย่าไปน้อยเนื้อต่ำใจไง ถ้าเราน้อยเนื้อต่ำใจกับชีวิต เราน้อยเนื้อต่ำใจกับสถานะของเรานี่ เราก็จะมีความทุกข์ใจ สถานะนี้ก็เราทำมาเอง เราสร้างของเรามาเอง นี่ความเป็นมนุษย์ เราสร้างของเรามาเอง ปากกัดตีนถีบอยู่นี้ก็ทำมาเอง!! นี่กรรมเก่า...

แล้วกรรมใหม่ ในกรรมปัจจุบันนี้เห็นไหม หูตาสว่างหรือยัง...ถ้าหูตาสว่างแล้ว เราก็แก้ไขตัวเรานี่ไง เราตั้งสติของเรา สิ่งใดมันก็เป็นอย่างนี้ เรารักษาใจเรา ดูแลใจเรา พัฒนาใจเราเห็นไหม พัฒนาใจเรา เราจะเอาความดีที่สว่างไปกว่านี้เห็นไหม “ถ้าสว่างไปกว่านี้ เราควบคุมใจเราได้ ถ้าเราควบคุมได้ เรามีสติปัญญาขึ้นมานะ ปัญหาในรอบตัวเล็กน้อย ไม่เป็นปัญหาเลย!!”

แต่ถ้าหัวใจเรามีความทุกข์นะ โอ้โฮ...ปัญหานี้บีบคั้นนะ ปัญหานี้บีบคั้นมาก แต่ถ้าเราแก้ใจเรานะ ปลดที่ใจเรานะ ปัญหาไม่เป็นปัญหาเลย ปัญหานี้เป็นปัญหาของโลก ทุกคนก็มีทั้งนั้นล่ะ ดูสิ เราเกิดมาเราก็มีปัญหาทั้งนั้นล่ะ เราทุกคนมีมากมีน้อย มีปัญหาทุกๆ คนล่ะ ประสบการณ์อย่างนี้มันก็ขึ้นๆ ลงๆ ทั้งนั้นล่ะ

ดูสิ เวลากษัตริย์ไปบนท้องถนน เวลารถมันวิ่งเข้าอุโมงค์ไป ก็เข้าอุโมงค์เหมือนกัน นี่เข้าไปในอุโมงค์ เข้าไปในที่ต่ำ มันก็เหมือนกันล่ะ ในเมื่อเราไปบนถนนหนทาง มันมีที่ราบ ที่สูง ที่ชัน ขึ้นเขา ลงเขา มันเป็นทั้งนั้นล่ะ

ชีวิตของเรามันก็เป็นอย่างนั้น มันมีลุ่มๆ ดอนๆ นะ ดูสิ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นศาสดา พราหมณ์นิมนต์ไว้จำพรรษาๆ หนึ่ง แล้วมารดลใจ ลืมใส่บาตร มีภัยพิบัติ ภัยแล้ง เขาไม่มีจะอยู่จะกินกัน เวลาพระอานนท์ไปบิณฑบาต ไม่มีใครใส่บาตรเลย ก็พอดีมีพ่อค้าม้าเขามา เขาขายม้า เขาต้อนม้าเข้ามา เขามีอาหารม้าเข้ามา คือข้าวกล้อง

ข้าวกล้อง ม้ากินวันละ ๑ ลิตร เขาก็ให้พระได้องค์ละ ๑ ลิตร เขาเลี้ยงม้าเขาขนาดไหน เขาก็ให้พระเท่านั้น ใส่บาตรพระมา ข้าวดิบๆ ข้าวกล้องน่ะ พระอานนท์มานะ เอามาถึงนะ ภิกษุทำให้อาหารสุกเองไม่ได้ ภิกษุทำอาหารสุกเองเป็นอาบัติปาจิตตีย์ เอาข้าวมาบดให้เป็นผง แล้วก็เอาน้ำพรมๆ ถวายองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เราบอกว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วนะ ชีวิตกินข้าวกล้องจากม้า จนพระโมคคัลลานะทนไม่ไหว พระโมคคัลลานะทนไม่ไหวนะ เพราะมีฤทธิ์มีเดช ฤทธิ์เดชก็มีน่ะ จะเหาะไปบิณฑบาตทวีปอื่น จะพลิกง้วนดินขึ้นมานี่ จะทำทุกอย่างถวายองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ให้ทั้งนั้นเลย ไม่ให้ทำ...ไม่ให้ทำ...ไม่ให้ทำ...เห็นไหม เพราะอะไร กรรมเก่า กรรมใหม่มา

พอถึงที่สุดไปแล้วนะ ออกพรรษาไปแล้วนี่ พราหมณ์ที่นิมนต์มาถึงนึกได้ ว่านิมนต์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามา แล้วไม่ได้ดูแล ก็มาขอขมาลาโทษ

จริงๆ แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็มีอำนาจวาสนา ทำแบบโลกก็ทำได้ แต่ท่านไม่ทำ ท่านทำให้เป็นคติ เป็นตัวอย่างว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าน่ะ เวลาถึงคราวที่ว่า เขานิมนต์ไว้ แล้วเขาลืม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่มีสิ่งใดเลย พอออกพรรษาแล้ว เขาขอโทษขอโพยนะ เขามาเลี้ยง ...อันนี้มันเป็นชีวิต...

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการ ไว้ในพระไตรปิฎกนะ ถ้าใครโดนโลกธรรมกระทบกระเทือนรุนแรงขนาดไหน อย่าเสียใจ ให้ดูองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดานะ มีฤทธิ์ มีเดชทำได้ทุกๆ อย่างเลย แต่เวลาเขาจ้างคนมาด่า เขาจ้างคนมาทำสิ่งต่างๆ เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า

“ถ้าใครโดนโลกธรรมเสียดสีขนาดไหน ไม่มีใครโดนเท่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า” องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดา เป็นผู้เผยแผ่ศาสนา ...เจ้าลัทธิต่างๆ เขาก็ต้องมีฉ้อฉลเห็นไหม นี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดนทุกอย่าง ถ้าใครโดนโลกธรรม ๘ ความติฉินนินทาต่างๆ ให้คิดถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดนมากกว่าเรา

ถ้าเราคิดได้ขนาดนี้ เราจะมีกำลังใจ เราจะมีว่าชีวิตลุ่มๆ ดอนๆ เป็นอย่างนี้ ถ้าชีวิตลุ่มๆ ดอนๆ เป็นอย่างนี้ แล้วมีสติ มีปัญญา อยากเป็นอิสรภาพ ความเป็นอิสรภาพทางโลก เกื้อหนุนจุนเจือกันได้

ความเป็นอิสรภาพของหัวใจเรา ถ้าความเป็นอิสรภาพของหัวใจเรานะ เราจะต้องเข้มแข็งของเรา เราตั้งสติ เราก็ตั้งสติในหัวใจของเรา เราควบคุมใจของเราด้วยกิริยาการเดินจงกรม การนั่งสมาธิ เพื่อให้จิตใจเรารวมตัวเข้ามา ให้เป็นเอกัคคตารมณ์ ให้เป็นเอก ให้เป็นตั้งมั่น เป็นสมถะกรรมฐาน ฐานที่ตั้งแห่งการงาน แล้วรื้อค้น เปลี่ยนแปลง แก้ไข ให้หัวใจเราเป็นอิสรภาพ

ถ้าหัวใจเราเป็นอิสรภาพ นี่งานของเรา เราเกิดมาพบพระพุทธศาสนา เราเกิดมาแล้วมีครูบาอาจารย์คอยชี้นำ เราเกิดมาเพื่อผลประโยชน์ของเรา

การมีชีวิตทางโลก เราก็ทำชีวิตทางโลก เพราะเราเกิดมาเป็นสัตว์สังคม มันก็ต้องมีเป็นเรื่องธรรมดา แต่หัวใจของแต่ละบุคคลเห็นไหม อิสรภาพอย่างนี้ ถ้าใครรื้อค้นได้ ใครทำได้ จะเป็นประโยชน์กับคนนั้นไหม

นี่วันพระ วันพระวันโกน วันปกติเราก็ภาวนาปกติ ถ้าวันพระนี่เราถือเนสัชชิกเลย เราไม่นอนเลย เราปฏิบัติ ตอนปฏิบัตินะ อยู่ในป่าในเขา ถ้าวันพระต่างๆ นี่ไม่นอน เพราะอะไร เพราะงานของเราอ่ะ! งานของเรา! งานรื้อภพรื้อชาติ งานจะเอาสภาพของใจนี่ เราต้องเข้มแข็ง เราต้องมีการกระทำ เพื่อประโยชน์กับเราเห็นไหม วันปกติเราก็ทำงานเป็นปกติอยู่แล้ว ยิ่งวันพระวันโกนนี่ เราเพิ่มเข้าไป... เพิ่มเข้าไป... เพื่อผลประโยชน์ของเราไง

เวลาผลประโยชน์ทางโลก เราอยากได้มาก เราทำอะไร เราเห็นผลตอบแทนไง

เวลาเราภาวนานี่ เราต้องมีกำลังของเรา ให้ผลตอบแทนคือความสงบของใจ ให้ผลตอบแทนคือเกิดปัญญารื้อค้นใคร่ครวญ เพื่ออิสรภาพของหัวใจของเรา นี้คือผลงานของเราเห็นไหม

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ชี้ทาง เราเองต่างหากเป็นผู้ประพฤติปฏิบัติ เราเองต่างหากเพื่อประโยชน์กับเรา เราทำเพื่อเรา นี่ “ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก” รู้จำเพาะตน ทุกข์เราก็รู้ว่าทุกข์ ถ้ามันคลายทุกข์ เราก็จะรู้ว่าคลายทุกข์ ถ้ามันเป็นประโยชน์กับเรา เป็นความสุขขึ้นมา เราก็จะรู้ว่าเป็นความสุข แล้วถ้ามันปล่อยวางขึ้นมา มันถึงที่สุดของมัน เราจะรู้ว่าเป็นของเรา

นี่พุทธศาสนา ให้เคารพตน เพื่อประโยชน์กับเรา ไม่เคารพสิ่งใดเลย เห็นไหม เราเชื่อฟังครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์เป็นพ่อแม่ครูบาอาจารย์ของเรา ก็เป็นผู้ชี้นำ เป็นครูบาอาจารย์ของเรา คุ้มครองเรา ดูแลเรา เป็นผู้ชี้นำเรา แต่เราต้องปฏิบัติของเราเพื่อประโยชน์กับเรา เป็นผลประโยชน์ เป็นเนื้อหาสาระ เป็นข้อเท็จจริงในหัวใจของเรา เอวัง